การขยายความ อาจกระทำได้หลายลักษณะ ดังได้กล่าวมาเป็นเบื้องต้นแล้ว แต่สำหรับวิธีการขยายนั้น อาจต้องพิจารณาประกอบเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในแต่ละประโยคจะใช้กลวิธีในการขยายความอย่างไร จึงจะมีสัดส่วนพอเหมาะ เป็นเหตุเป็นผล และช่วยเพิ่มความกระจ่าง แจ้งชัด ซึ่งน่าจะนำมากล่าวได้ ๖ ประการ
ขยายโดยการอธิบาย
เป็นวิธีอธิบายให้ละเอียด หรือให้คำจำกัดความเกี่ยวกับใจความสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจ หรือรู้เรื่องราวนั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
ขยายโดยการยกตัวอย่าง
เป็นวิธีการยกตัวอย่างมาประกอบใจความสำคัญ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจหรือเห็นด้วยกับเรื่องราวนั้นๆง่ายขึ้น ตัวอย่างที่ยกมาแสดงควรให้ตรงตามเนื้อเรื่องไม่ยาก หรือซับซ้อนเกินไป ควรเป็นตัวอย่างที่สนับสนุนข้อความนั้นๆ ให้ผู้อ่านเข้าใจหรือเห็นจริง ควรบอกด้วยว่าตัวอย่างนั้นๆ เป็นเรื่องจริง เรื่องสมมติ หรือเคยพบเห็นด้วยตนเอง สิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกฝนควรคำนึกถึงเสมอ คือ จะยกตัวอย่างประกอบเฉพาะเรื่องที่เข้าใจยาก หรือยังไม่เข้าใจชัดแจ้งเท่านั้น เรื่องที่ง่ายอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง
ขยายโดยการเปรียบเทียบ
เป็นการขยายเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตรงกันข้าม เพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น เช่น ขาวกับดำ หรือเปรียบเทียบทำนองอุปมาอุปมัยทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวนั้นๆ ได้ง่ายขึ้น เปรียบสิ่งที่ไม่รู้กับสิ่งที่รู้ เปรียบนามธรรมกับรูปธรรม เป็นต้น
ขยายโดยการกล่าวถึงเหตุและผล
ขยายโดยแสดงเหตุผล ที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ หรือ ที่ทำให้เรื่องราวเป็นไปอย่างนั้น เหตุผลที่นำมาแสดงควรเป็นเหตุผลที่มีทางเป็นไปได้ หรือพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงแล้ว หรือเป็นเหตุผลที่คนทั่วไปยอมรับ ไม่ใช่ถือเอาตัวผู้เขียนเป็นหลัก
ขยายโดยการอ้างหลักฐาน
เป็นการขยายโดยอ้างบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่มีจริง หรือเกิดขึ้นจริงๆ เพื่อให้ใจความนั้นหนักแน่นน่าเชื่อถือ เช่น บอกว่า ใครพูดอะไรไว้ ข้อมูลนั้นได้จากที่ใด เหตุการณ์นั้นเกิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร เป็นต้น
ขยายโดยการตั้งคำถามและให้คำตอบ
เป็นการขยายที่ทำให้ผู้อ่านฉุกใจคิดโดยการตั้งคำถาม แล้วจึงให้ความกระจ่างแก่ผู้อ่านโดยการตอบคำถามเป็นขั้นตอนไป ทำให้ผู้อ่านเข้าใจข้อความนั้นได้เป็นลำดับ
ลักษณะการขยายความในรูปแบบต่างๆ ที่ได้กล่าวมาเป็นลำดับนั้น จะเห็นได้ว่าการเขียนขยายความเป็นการช่วยอธิบาย และให้รายละเอียดเพิ่มเติม ทำให้ข้อความนั้นๆ แจ่มกระจ่างชัดขึ้น นากจากนี้อาจช่วยปรับระดับภาษา ให้กลมกลืนสละสลวยอีกด้วย เพราะการขยายส่วนใหญ่นั้นมักปรากฏคำเชื่อมเข้ามามีบทบาทอยู่ในบริบทต่างๆ เสมอ
สะพานคำ
สะพานคำเป็นการโยงคำหลักซ้ำจากประโยคแรก เพื่อให้มีความหมายต่อเนื่องกัน เช่น
· เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฝนตก ๒ วันเต็มๆ หนังสื่อพิมพ์ลงข่าวว่าฤดูหนาวนี้จะตกหนักที่สุดในรอบ ๑๐ ปี
· ชาวอีสานมักนิยมกินผักกันมาก เขากินกันแต่ผัก แต่ก็ดูแข็งแรงดี
· คนส่วนมากชอบเพลงไทยสากล บ้างก็ชอบเพลงลูกทุ่ง
· เขาเดินข้ามห้องโถงไปช้าๆ ครั้นแล้วล้วงกุญแจออกมาไขประตู
· บ้านเราเพิ่งจะมีรถโดยสารใช้ ก่อนหน้านั้นใช้รถม้า
คำถาม
การสร้างประโยคคำถามในงานเขียน อาจกระทำได้หลายวิธี ถ้อยคำที่นำมาเขียน เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีลักษณะเป็นคำถามนั้นมีหลายคำ เช่น
คำถามเชิงเหตุผล ใช้คำ ทำไม เหตุใด เหตุไร เหตุไฉน ประการใด เพราะอะไร เป็นต้น
คำถามเกี่ยวกับเวลา ใช้คำ เมื่อไร เวลาใด วันไหน เมื่อใด
คำถามประมาณ ใช้คำ เท่าไร แค่ไหน เท่าใด เพียงใด เพียงไร
คำถามเรื่องราว ใช้คำ อะไร เช่นไร กระไร สิ่งใด สิ่งไร ประเภทไหน ประเภทใด เป็นไฉน
คำถามเกี่ยวกับวิธี ใช้คำ อย่างใด อย่างไร เช่นไร วิธีใด วิธีไหน
คำถามตอบรับ ตอบปฏิเสธ ใช้คำ หรือ หรือไม่ หรือเปล่า ไหน เป็นต้น
คำถามเพื่อให้เลือก ใช้คำ อย่างไหน ชนิดไหน ชนิดใด เป็นต้น
คำคู่
คำคู่เป็นลักษณะพิเศษของการใช้ภาษาไทยอย่างหนึ่ง ที่ผู้ใช้ควรพิจารณาคุณสมบัติเฉพาะประกอบด้วย และต้องนำมาเขียนเป็นกลุ่มคำทั้งชุดและต้องขึ้นต้นด้วย ...ใด... ก่อนจึงจะตามด้วย ...นั้น... เช่น
· ใด...นั้น
· ผู้ใด...ผู้นั้น
· สิ่งใด...สิ่งนั้น
· ใด...หนึ่ง
· อย่างใด...อย่างหนึ่ง
· อย่างใด...อย่างนั้น
· เพียงใด...เพียงนั้น เช่น
“ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้าผู้กระทำมีหน้าที่หรือเชื่อโดยสุจริตว่า มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้นั้น ไม่ต้องรับโทษ เว้นแต่จะรู้ว่า คำสั่งนั้นเป็นคำสั่งซึ่งมิชอบด้วยกฎหมาย”
“ถ้าผลของการกระทำตามความผิดใด ทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทำความผิดนั้น ต้องเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๐,๖๓)
คำอุปมา
หมายถึง คำที่ใช้ในลักษณะเปรียบเทียบ พระยาอนุมานราชธน (๒๕๑๑ : ๒๔๔-๒๔๗) ได้อธิบายคำอุปมาในภาษาไทยไว้ว่า เป็นคำที่มีความหมายเดิมเป็นอย่างหนึ่ง จนเรามีคำใช้ขยายความออกไปได้มากมายก็ด้วยคำอุปมา โดยไม่ต้องคิดหาคำขึ้นมาใหม่ หรือต้องยืมมาจากภาษาอื่น และถ้าจะสั่งเกตคำอุปมาที่มีอยู่เป็นสามัญในคำพูด มักเป็นคำเกี่ยวกับความรู้สึกในตัวเรา คือ เอาตัวเราเป็นที่ตั้งแล้วโอนไปใช้ให้แก่สิ่งอื่น เช่น
เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงแหลม “สูง ต่ำ แหลม” เป็นลักษณะเห็นได้ทางตาโอนไปให้แก่สิ่งที่รู้ได้ทางลิ้น วาจานิ่มนวล โอนเอาสิ่งที่ได้ทางสัมผัสไปให้แก่สิ่งที่รู้ได้ทางหู
ตัวอย่างคำอุปมาในภาษาไทย เช่น
กดขี่ ใจคับแคบ เค็มจริง เจ็บปวด แคะได้ คิดถึง เฉื่อยชา ซุกซน เด็ดขาด ตาคม ตกลง ถูกต้อง ถูกผิด หยาบคาย ละเอียดลออ บานใจ ยินยอม ป่นปี้ ตัดสิน ยกให้ แน่นอน เลอะเทอะ เป็นห่วง อ้อมค้อม บ้องตื้น เป็นพื้น ตัวดี ขาใหญ่ ขึ้นหม้อ หัวสูง อับอาย เป็นต้น
คำอุปมาเป็นปัจจัยเปลี่ยนความหมายของคำ แล้วสร้างความหมายใหม่ๆให้แก่ภาษาไทย เช่น
“สิ่งใดดีงาม เราถือว่าสิ่งนั้นมีลักษณะเที่ยงตรง เป็นระเบียบเรียบร้อยได้สัดส่วน เป็นสิ่งสมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่องและมีน้ำหนัก” เป็นต้น เราจึงมีคำ ซื่อตรง เที่ยงตรง เรียบร้อย ใช้อย่างแพร่หลาย
กลมกล่อม เปี่ยมใจ ใจหนักแน่น คำเหล่านี้ล้วนมีความหมายไปในทางดีงาม และเกิดขึ้นเพราะคำอุปมาสร้างให้ทั้งสิ้น
สิ่งใดเลว สิ่งนั้นมีลักษณะตรงกันข้าม เช่น คำว่า คดโกง โลเล หยาบคาย ยุ่งเหยิง ขัดหู ขัดตา
ใจน้อย ใจเบา เป็นต้น
“ปัญญาเปรียบเหมือนของแหลมแทงทะลุ ปลอดโปร่ง หรือสว่าง” เช่น “หลักแหลม เรืองปัญญา” คำตรงกันข้ามคือ โง่เขลา ก็มีคำเช่น ทื่อ ทึ่ม มืด หนา เป็นต้น
“การวัดชั่งตวงและการกำหนดราคา” เราก็เอามาใช้เป็นอุปมา เช่น วัดความรู้ ชั่งใจ เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้ว คำอุปมา ย่อมจะต้องมี คำอุปไมย มาเป็นคำตั้งก่อนเสมอ แต่เรียก คำอุปมาขึ้นก่อน เป็น คำอุปมาอุปไมย ซึ่งหมายถึงการเขียนโวหารในเชิงเปรียบเทียบที่มีคำอุปไมยขึ้นตั้ง แล้วตามด้วยคำอุปมา
หากจะแบ่งตามลักษณะของโอกาสที่ใช้คำอุปมาอุปไมยนั้น อาจจำแนกได้ ๕ ประเภท ดังนี้เปรียบเทียบความเหมือนกันของสองสิ่ง ซึ่งมักมีคำว่า “เหมือน” “ย่อม” “ดุจ” “คล้าย” เช่น
“เปรียบอย่าง” “ดัง” ฯลฯ เป็นตัวกลางเชื่อมอุปมาอุปไมยให้เข้ากัน (อุปไมย แปลว่า บทที่กล่าวก่อน อุปมา แปลว่า บทที่กล่าวเปรียบ) เช่น
“เล่าปี่ดีใจเหมือนปลาไดน้ำ” ดังนี้จะเห็นว่า บทอุปไมยคือ “เล่าปี่” บทอุปมา คือ “ปลาได้น้ำ” มีคำว่า “เหมือน” เป็นตัวเชื่อมการเปรียบเทียบแบบนี้ บางทีมีลักษณะเป็นคู่ก็ได้ เช่น “ดอกไม้คู่กับแมลงฉันใด หญิงก็คู่กับชายฉันนั้น” บทอุปไมย “ดอกไม้” คู่กับบทอุปมา “หญิง” และบทอุปไมย “แมลง” คู่กับบทอุปมา “ชาย” เป็นต้น
(๑) เปรียบเทียบโยงความคิดอย่างหนึ่ง ไปสู่ความคิดอีกอย่างหนึ่ง ไม่เปรียบเทียบตรงๆ อย่างวิธี
แรก แต่ใช้คำที่มีความหมายเป็นนัยไว้ เช่น
“ผ้าขาวในเมืองอังวะไม่มีอีกแล้วหรือ”
“ค่าเล่าเรียนของลูกได้จากหยาดเหงื่อของพ่อแม่” เป็นต้น
(๒) เปรียบเทียบ โดยยกตัวอย่างหรือจาระไนของหลายอย่างที่มีลักษณะคล้ายกันขึ้นมากล่าว แล้ว
สรุปทีหลัง เช่น
“พระราชา ๑ หญิง ๑ ไม้เลื้อย ๑ ย่อมรักผู้และสิ่งที่อยู่ใกล้”
(๓) เปรียบเทียบโดยการกล่าวคำซ้ำๆ เช่น
“จะมารักเหากว่าผม จะมารักลมกว่าน้ำ จะมารักถ้ำกว่าเรือน จะมารักเดือนยิ่งกว่าตะวัน จะมารักตัวออเฒ่านั้น ยิ่งกว่าตัวเองเล่า”
(๔) เปรียบเทียบความขัดแย้ง หรือเปรียบเทียบตรงข้าม ทำนอง “ดินกับฟ้า” “กากับหงส์” เช่น
“ถึงตัวไปใจอยู่เป็นคู่ชื่น”
“รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ”
“ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย”
ตัวอย่างคำอุปมา เช่น
เหยียบจมูก ตีฝีปาก แก่แดด คิดบัญชี แข็งข้อ กระจอก ตกที่นั่ง เบี้ยว เถนตรง เลี้ยงต้อย โกย ไม่เอาไหน สวมเขา เซ็ง สะดุดตา ไล่เบี้ย แผ่สองสลึง ขวางโลก วิ่งราว รำพัด ใจแคบ ล้ำหน้า อ่อยเหยื่อ เหลือเกิน พลิกกระเป๋า หน้าคว่ำ กวน ติดกับ ดูดาย ขูดเลือด สวมรอย จับจด จมปลัก เข้าไส้ แช่เย็น กินเมือง อยู่ตัว งอม ตัวเปล่า จมเบ้า แก้มือ ไข่แดง เส้นยาแดงผ่าแปด คอแข็ง ลูกยอ ทอดน่อง ไม่เป็นสับปะรด จนมุม เป็นเซียน จับฉ่าย เล่นเอาเถิด สุดเหวี่ยง ตาเขียว กลับบ้านเก่า ยาหอม เต็มคราบ แพะรับบาป กระเป๋าหนัก ผิดหูผิดตา งอมพระราม เต็มบาท บาดตา วัดรอยตีน เฆี่ยน หนุนหลัง
ไกลปืนเที่ยง กิน อกหัก เข้ากระดูกดำ ปอด เปิดกล้อง ปิดกล้อง สู้ยิบตา ขวางตา แจกแว่น ร้อยลิ้น ขี้เล็บ ฉีกหน้า ดอกฟ้า เขก เฉ่ง เจ้าถิ่น เข้าขา ชี้นิ้ว เนื้อหอม เข้าท่า ชักดาบ กู้หน้า เข้าปิ้ง ดัง เข้าพระเข้านาง เซ่น ถ่างตา เข้าเค้า ดีฝ่อ หนักใจ ดวง ตีแตก จับจด ควันหลง ดีดลูกคิด กร่อย ควักกระเป๋า เดินแต้ม กรอบ คับใจ ตบะแตก กระดูก คั่ว ต้ม คว้าน้ำเหลว ตอด กัดฟัน คู่หู ติดกับ กันชน โคมลอย ตีปีก กลิ้ง แค่คืบ
ตีนโรงตีนศาล กินดิบ เงินแห้ง เต็มประตู เกิดปีน้ำน้อย เงื้อมมือ ถอนหงอก เกิดปีน้ำมาก จนแต้ม ถอนราก แก่ดีกรี จบเห่ ถ้ำมอง แกะดำ จูงจมูก ทิ้งทวน แก่วัด จี้เส้น นกต่อ แก้เผ็ด จิ้งจอกสังคม น้ำยา เปรี้ยวปาก รวบหัวรวบหาง ขัดใจ ไปน้ำขุ่นๆ เรียบวุธ เผาขน ลงขัน ผูกขาด ลมจับ ฝันหวาน ลับปากฝอย เล่นลิ้น พ่อพวงมาลัย วิ่งเต้น พอง มั่วสุม ลับ มดแดง เส้นตาย มีปลอกคอสุม มีภาษีดีกว่า เสือผู้หญิง มือมืด มือกาว หนาหู แม่เสือ หน้าม้า มุ้งสายบัว(คุก) หมดทาง มือห่างตีนห่าง หลายใจ ไม้เด็ด หลังฉาก ไม่กี่น้ำ เหลือขอ ยกครู หวานหมู ยันป้าย หันหลังให้ ยื่นจมูก หูผึ่ง ยาหมอ ให้ท้าย เป็นต้น
ใครออกแบบสีครับเนี่ย อ่านไม่ออกเลย
ตอบลบขยายความได้
ตอบลบจงขยายบทกลอนความให้ชัดเจน
จะรอบทขยายใจความนะ
ชณัฐธิดา
ลบ